ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คืออะไร? เรื่องสำคัญที่เจ้าของธุรกิจต้องรู้!

ภาษีเป็นเงินที่บุคคลและธุรกิจต้องจ่ายให้ภาครัฐ เพื่อนำไปใช้พัฒนาประเทศในด้านต่างๆ เช่น การศึกษา คมนาคม และสาธารณูปโภค การเข้าใจภาษีช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ลดความเสี่ยงจากค่าปรับ และบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หนึ่งในภาษีสำคัญที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลคือ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ซึ่งส่งผลต่อการดำเนินงานบัญชีของบริษัท มาทำความเข้าใจภาษีประเภทนี้กัน!
หัวข้อ
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คืออะไร?
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คือภาษีที่นิติบุคคลต้องหักจากรายได้ของผู้รับเงินก่อนจ่ายจริงตามอัตราที่กฎหมายกำหนด โดยภาษีที่หักไว้นี้ต้องนำส่งกรมสรรพากร ซึ่งหมายความว่าบริษัทมีหน้าที่เป็นตัวกลางในการหักภาษีและนำส่งให้รัฐ
ใครบ้างที่ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย?
- บุคคลธรรมดา
- นิติบุคคล
ผู้ถูกหักภาษีสามารถนำภาษีที่ถูกหักไปใช้เป็นเครดิตภาษีเมื่อต้องยื่นภาษีประจำปีได้
ใครบ้างต้องหัก และต้องถูกหัก ภาษีหัก ณ ที่จ่าย?
ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย หรือที่คุ้นเคยคือ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย เป็นภาษีรูปแบบหนึ่งในความรับผิดชอบของกรมสรรพากร ซึ่งผู้จ่ายที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล จะต้องหักไว้ก่อนจ่ายเงินให้กับผู้รับ ทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล จากนั้นนำเงินที่หักไว้ส่งให้กรมสรรพากรภายในวันที่ 7 ของทุกเดือน หรือยื่นออนไลน์ถึงวันที่ 15 ของทุกเดือน
โดยนิติบุคคลเมื่อมีการใช้บริการหรือมีลูกจ้าง จะต้องมีหน้าที่ในการหักภาษี ณ ที่จ่ายด้วย หากกิจการไม่หักไว้ จะถือว่าเป็นความผิดของกิจการ หรือบางครั้งเจอคู่ค้าที่ไม่ยอมให้หักภาษี ณ ที่จ่าย แนะนำว่าควรเปลี่ยนเจ้า เพราะตามหลักการจะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ ไม่เช่นนั้นจะถือว่าผิดกฎหมาย
และหลังจากหักภาษี ณ ที่จ่ายไปแล้ว จะต้องยื่น ภ.ง.ด.3 กับ ภ.ง.ด.53 โดยมีความแตกต่างกันคือ
- ภ.ง.ด.53 เป็นการหักภาษี ณ ที่จ่ายสำหรับนิติบุคคล ทั้งบริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
- ภ.ง.ด.3 เป็นการหักภาษี ณ ที่จ่ายสำหรับบุคคลธรรมดา เช่น มีการจ้างลูกจ้างรายวันหัก 3% แล้วนำส่ง ภ.ง.ด.3 ให้กับกรมรรพากรในเดือนถัดไป
ดังนั้น หากใครได้รับเงินตามประเภทที่กฎหมายกำหนดจากผู้จ่ายนิติบุคคล จะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ถึงแม้ว่าตนเองจะเป็นบุคคลธรรมดา หรือจดทะเบียนบริษัทนิติบุคคลก็ตาม
รายจ่ายของนิติบุคคลที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย
ธุรกิจที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายจากรายจ่ายบางประเภท โดยมีอัตราหักภาษีที่แตกต่างกัน ดังนี้
รายจ่าย | อัตราหักภาษี ณ ที่จ่าย |
---|---|
ค่าจ้างและเงินเดือน | ไม่เกิน 150,000 บาท = 0% |
ค่าบริการทั่วไป (เช่น นายหน้า) | 3% |
บริการวิชาชีพอิสระ (แพทย์, สถาปนิก, วิศวกร, นักบัญชี, ทนายความ) | 3% |
ค่ารับเหมาและบริการ (เช่น กราฟิก, รีวิวสินค้า) | 3% |
ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ | 5% |
ค่าโฆษณา (จ้างเอเจนซี่หรือบริษัทโฆษณา) | 2% |
ค่าขนส่ง (ผู้ให้บริการขนส่งต้องจดทะเบียน) | 1% |
- ค่าจ้างและเงินเดือน ถ้าเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท จะได้รับยกเว้นหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือต่ำสุด 0%
- จ้างทำงานหรือบริการ เช่น นายหน้าขายของ ได้ส่วนแบ่งค่าคอม จะใช้วิธีคำนวณเหมือนค่าจ้างและเงินเดือน หักภาษี ณ ที่จ่ายต่ำสุด 0%
- จ้างบริการวิชาชีพอิสระ ภาษีในกลุ่มนี้จะประกอบไปด้วย 6 วิชาชีพเท่านั้น คือ 1) โรคศิลปะ เช่น กลุ่มเวชกรรม เภสัชกรรม ทันตกรรม 2) ประณีตศิลป์ 3) สถาปนิก 4) วิศวกร 5) นักบัญชี 6) ทนายความ ซึ่งนิติบุคคลผู้ว่าจ้างจะต้องทำการหักภาษี ณ ที่จ่าย 3%
- จ้างรับเหมาหรือบริการ เช่น การจ้างผลิตสินค้า จ้างทำนามบัตร จ้างรีวิวสินค้า ทำกราฟิก รวมถึงค่าอินเตอร์เน็ต โทรศัพท์ (ต่างจากจ้างทำงาน หรือบริการ ตรงที่จ้างรับเหมา หรือบริการ ผู้ถูกจ้างจะต้องใช้หรือไปหาอุปกรณ์ของตัวเองมาเพื่อดำเนินการตามสิ่งที่ได้รับการว่าจ้าง) ผู้ว่าจ้างจะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 3%
- ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ นิติบุคคลผู้เช่าจะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 5%
- ค่าโฆษณา หากต้องการทำโฆษณาเพื่อโปรโมตแบรนด์ บริษัทของตนเอง โดยจ้างผ่านบริษัทรับทำโฆษณา เอเจนซี่ จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 2%
- ค่าขนส่ง สำหรับบริษัทที่จดทะเบียนบริษัทเป็นนิติบุคคล และให้บริการด้านการขนส่ง จะต้องไปขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้บริการขนส่ง และนิติบุคคลผู้ว่าจ้างมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย 1%
สินค้าและบริการที่ได้รับยกเว้นการหักภาษี ณ ที่จ่าย
กฎหมายได้กำหนดเงื่อนไขภาษีหัก ณ ที่จ่าย ในบางลักษณะไม่ต้องถูกหักภาษี เช่น หากสินค้าหรือบริการยอดเงินไม่ถึง 1,000 บาทในการจ่ายเงินแต่ละครั้ง นิติบุคคลผู้จ่ายเงินไม่ต้องหักภาษี แต่ถ้าหากมีการจ่ายอย่างต่อเนื่องแม้ยอดเงินแต่ละครั้งจะไม่ถึง 1,000 บาท ผู้จ่ายจะต้องทำการหักภาษี ณ ที่จ่ายด้วย เช่น ค่าบริการโทรศัพท์ต้องจ่ายทุกเดือนแม้ยอดแต่ละครั้งไม่ถึง 1,000 บาท แต่รวมกันหลายยอดแล้วเกิน 1,000 บาท
และหลังจากนิติบุคคลผู้จ่ายเงิน หรือผู้ที่มีหน้าที่เป็นคนหักภาษี ณ ที่จ่าย ได้ทำการหักเงินแล้ว จะต้องจัดทำและมอบเอกสาร “หนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย” (50 ทวิ) เพื่อเป็นหลักฐานในการหักเงินไว้ โดยออกเอกสารให้ผู้รับเงิน 2 ฉบับ และเก็บไว้ที่ผู้จ่ายเพื่อเป็นหลักฐานอย่างน้อย 1 ฉบับด้วย ส่วนผู้รับเงิน หรือผู้ที่ถูกหักเงินไป จะใช้หนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) นี้ เพื่อเป็นหลักฐานยื่นแก่กรมสรรพากร เพื่อลดภาษีตามจำนวนที่ถูกหักไประหว่างปี
การจัดทำเอกสารภาษีหัก ณ ที่จ่าย
หลังจากทำการหักภาษี ณ ที่จ่ายแล้วนิติบุคคลต้องออก “หนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย (50 ทวิ)” ให้กับผู้รับเงิน เพื่อเป็นหลักฐานว่าภาษีถูกหักและนำส่งให้กับกรมสรรพากรแล้ว
หนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย (50 ทวิ)
- ผู้จ่ายเงินต้องออกเอกสารให้ผู้รับเงิน 2 ฉบับ
- เก็บเอกสารไว้อย่างน้อย 1 ฉบับ เป็นหลักฐานของบริษัท
- ผู้รับเงินสามารถใช้เอกสารนี้เพื่อลดหย่อนภาษีหรือขอคืนภาษีได้
สรุป
เฉพาะนิติบุคคลเท่านั้นที่สามารถหักภาษี ณ ที่จ่ายได้ ไม่ว่าจะจ่ายเงินให้กับบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ตาม
หากนิติบุคคลไม่หักภาษี ณ ที่จ่าย หรือยื่นภาษีไม่ถูกต้องอาจถูกปรับและต้องจ่ายเงินเพิ่มนอกจากนี้ ภาษีที่ถูกหักไปสามารถนำไปใช้เป็นเครดิตภาษีหรือขอคืนภาษีได้ หากพบว่ารายได้ของผู้รับเงินไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี
การทำความเข้าใจภาษีหัก ณ ที่จ่ายและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง จะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ปลอดภัย และไม่มีปัญหาทางกฎหมาย!
ติดต่อเรา
- สถานที่ : 1239/144 หมู่บ้าน เดอะ มิราเคิล ซอยเพชรเกษม 63
- เบอร์โทร : 082-441-6529
- Email : pm.audit.acc@gmail.com
- LINE : @pmac
- เว็บไซต์ : pmaccounting.net